การเขียนคำไทย
ปัจจุบันการเขียนคำผิดเป็นปัญหาที่พบมากในสื่อสารมวลชนประเภทต่างๆ และการใช้ภาษาของบุคคลทั่วไป ดุษฎีพร ชำนิโรคศานต์ (๒๕๒๖ : ๑๐๑ - ๑๐๕) ได้ประมวลถึงสาเหตุของการเขียนผิดไว้สรุปได้ ดังนี้
๑. การเขียนคำผิดเพราะคำเหล่านั้นออกเสียงเหมือนกัน แต่มีความหมายคนละอย่างและเขียนต่างกัน ทำให้ผู้ใช้ภาษามักสับสนและใช้คำปนกัน เพราะจำความหมายของคำที่ต้องการเขียนไม่ได้ เช่น
คำว่า ขั้น และ คั่น สิน " สินธุ์ ฉัน " ฉันท์ พัน " พันธุ์ |
คำว่า ราด และ ลาด รัก " ลัก |
๔. ใช้แนวเทียบผิด เช่น คำว่า ญาติ และอนุญาต สัญชาติ และสัญชาตญาณ บุคคล และบุคลิก เป็นต้น
๕. เขียนผิดเพราะมีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ในการเขียน แต่ผู้เขียนติดรูปเดิมของคำบางคำ เช่น คำว่า พงศ์ เดิมใช้ ษ์ ปัจจุบันใช้ ศ์ คำว่า เบียดเบียน เคยใช้ ฬ สะกด คือเขียน เบียดเบียฬ
๖. คำบางคำมีความหมายอย่างเดียวกัน ออกเสียงเหมือนกันหรือคล้ายกัน แต่เขียนต่างกัน คำเหล่านี้ถึงแม้ว่าจะมีความหมายอย่างเดียวกันแต่มีที่ใช้ต่างกัน ผู้ใช้ภาษาต้องรู้ว่า เมื่อใดจะใช้รูปใด คือรู้ว่าจะเขียนรูปใดในคำแวดล้อมอย่างใด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความนิยมของสังคม เช่น
คำว่า ศูนย์ และ สูญ มารยาท " มรรยาท ภริยา " ภรรยา วิชา " วิทยา |
๗. คำบางคำเขียนได้มากกว่า ๑ รูป เช่น กรรไกร อาจจะใช้ว่า กรรไกร กรรไตร หรือตะไกร ก็ได้
คำว่า ระบัด ระบบ ระบือ ระลอก อาจใช้ ละ และ ระ ได้ดังนี้ ละบัด ละบือ และละลอก คำว่า ยนต์ จะเขียน ยนต์ หรือ ยนตร์ ก็ได้ เช่น รถยนต์ ภาพยนตร์ |
๘. เขียนผิดเพราะเขียนตามเสียงอ่าน เช่น
ปรารถนา ออกเสียงว่า ปราด-ถะ-หนา มักเขียนผิดเป็น ปราถนา ศีรษะ " สี-สะ มักเขียนผิดเป็น ศรีษะ |
หลักการเขียนคำสมาส
คำสมาสซึ่งเกิดจากการนำคำบาลีกับบาลี หรือคำบาลีกับสันสกฤต หรือสันสกฤตกับสันสกฤต มารวมกันเพื่อสร้างคำใหม่ในภาษา เช่น
วิสาขะ (บาลี) + บูชา (บาลี) = วิสาขบูชา ศัลยะ (สันสกฤต) + กรรม (สันสกฤต) = ศัลยกรรม กิตติ (บาลี) + ศัพท์ (สันสกฤต) = กิตติศัพท์ |
๑. ถ้าพยางค์สุดท้ายของคำแรกมีประวิสรรชนีย์ (ะ) เวลาเขียนให้ตัด ออก ดังตัวอย่างต่อไปนี้
อิสรภาพ ธนสมบัติ ศิลปศาสตร์ พันธกิจ รัตนโกสินทร์ ภารกิจ ศิลปกรรม พลศึกษา คณบดี กาญจนบุรี
๒. ถ้าพยางค์สุดท้ายของคำแรกของคำสมาสมีเครื่องหมายทัณฑฆาต ( ์ ) เวลาเขียนให้ตัดออก ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ทรัพยสิทธิ ครุศาสตรบัณฑิต แพทยศาสตร์ มนุษยชาติ ไปรษณียภัณฑ์ สัมพันธภาพ พิพิธภัณฑสถาน อนุรักษนิยม
หลักการเขียนคำที่ออกเสียง อะ
การเขียนคำที่ออกเสียง อะ เขียนได้ ๒ วิธี คือ ประวิสรรชนีย์ เช่น สะดวก สะอาด และไม่ประวิสรรชนีย์ เช่น ตวาด ชอุ่ม สบู่ เป็นต้น คำที่ประวิสรรชนีย์มีหลักในการสังเกต ดังนี้
๑. คำไทยแท้ทุกคำที่ออกเสียง อะ ให้ประวิสรรชนีย์ เช่น กะทิ กระพรวน กระทะ ปะขาว ทะนง ทะนาน มะลิ กระชับ ตะแคง ชะลอ ละไม คะมำ ตะโกน ขยะ ขะมุกขะมอม
๒. คำซึ่งเกิดจากการกร่อนเสียงมาเป็นเสียง อะ ให้ประวิสรรชนีย์ ดังนี้
๒.๑ กร่อนเสียงจาก ต้น เป็น ตะ เช่น
ต้นเคียน เป็น ตะเคียน ต้นไคร้ เป็น ตะไคร้ ต้นแบก " ตะแบก ต้นคร้อ " ตะคร้อ ฯลฯ |
หมากเฟือง เป็น มะเฟือง หมากม่วง " มะม่วง หมากพร้าว " มะพร้าว หมากดัน " มะดัน ฯลฯ |
ตัวเข้ เป็น ตะเข้ ตัวเข็บ " ตะเข็บ ตัวกวด " ตะกวด ฯลฯ |
นอกจากนี้คำกร่อนจากคำซ้ำ (อัพภาส) เป็นเสียงอะในคำแรก ซึ่งเป็นคำซ้ำในคำประพันธ์ ให้ประวิสรรชนีย์ เช่น ยะยิบ (ยิบยิบ) ระเรื่อย (เรื่อยเรื่อย) ระรัว (รัวรัว) ฯลฯ
๒.๕ คำที่มี ๓ พยางค์ ซึ่งออกเสียง อะ ในพยางค์ที่ ๒ มักประวิสรรชนีย์ เช่น รัดประคด บาดทะยัก เจียระไน สับปะรด คุดทะราด เป็นต้น
๒.๖ คำที่ยืมจากภาษาบาลี - สันสกฤต ถ้าออกเสียงอะที่พยางค์ท้ายของคำ ให้ประวิสรรชนีย์ที่พยางค์ท้ายของคำนั้น เช่น สาธารณะ ลักษณะ สรณะ อิสระ สัมปชัญญะ พละ อักขระ ภาชนะ ฯลฯ
ตัวอย่างคำที่ประวิสรรชนีย์ ได้แก่
ชะตา ชะงัก สะคราญ ทะนง คะนึง สะอื้น สะดุด สับปะรด สะอาด สะพาน ชะล่า สะกด จะละเม็ด ฉะนั้น มักกะสัน ประณีต พะทำมะรง สะเพร่า สะพัด สะบัด สะระตะ สะระแหน่ สะอิดสะเอียน สะลึมสะลือ จระเข้ สะตอ ตะลีตะลาน ตะลุมบอน ตะขิดตะขวง ชะรอย ซังกะตาย ธุระ ศิลปะ อารยะ สัจจะ ละเอียด รำมะนาด อังกะลุง |
อารยธรรม ศิลปกรรม ธุรกิจ คณบดี อิสรภาพ ปิยมหาราช พลศึกษา อาชีวศึกษา จริต จรุง ลออ สบาย สูบ่ ขมา ปรัมปรา พนัน ทมิฬ ตวัด ฉบับ ฉบัง ฉมัง ฉวัดเฉวียน สลัว สลอน สลอด สลวย สลัก สราญ สลุต สว่าน เสนาะ อหังการ อสรพิษ ทวาร ฉลาด ถวิล ชโลม |
๑. คำที่ใช้สระ ใอ (ไม้ม้วน) แต่โบราณกำหนดว่าคำไทยแท้เพียง ๒๐ คำเท่านั้น ที่เขียนด้วยสระ ใ ดังที่โบราณาจารย์ผูกไว้เป็นคำประพันธ์เพื่อช่วยความจำ ดังนี้
ใฝ่ใจให้ทานนี้ นอกในมีและใหม่ใส ใครใคร่และยองใย อันใดใช้และใหลหลง ใส่กลสะใภ้ใบ้ ทั้งต่ำใต้และใหญ่ยง ใกล้ใบและใช่จง ใช้ให้คงคำบังคับ (ประถมมาลา) |
๒. คำที่ใช้สระ ไอ (ไม้มลาย) มีหลักการใช้ ดังนี้
๒.๑ ใช้กับคำไทยทั่วไปนอกจากคำที่ใช้สระ ใ (ไม้ม้วน) ๒๐ คำ
๒.๒ ใช้กับคำที่แผลงจากคำเดิมที่เขียนด้วย สระ อิ อี และ เอ ในภาษาบาลี สันสกฤต เช่น ระวิ แผลงเป็น รำไพ วิจิตร แผลงเป็น ไพจิตร ตริ " ไตร วิหาร " ไพหาร
๒.๓ ใช้กับคำที่ยืมมาจากคำต่างประเทศทุกภาษา เช่น ไอศกรีม ไมล์ สไลด์ ไวโอลิน ไต้ฝุ่น ไผท อะไหล่ ฯลฯ
ตัวอย่างคำที่ใช้สระ ไอ (ไม้มลาย) ได้แก่
ไจไหม ร้องไห้ ไนกรอด้าย ปลาไน เสือกไส ไสไม้ ตะไคร่ ตะไคร้ ใส่ไคล้ ไยไพ ไยดี ลำไย หยากไย่ สลัดได เหลวไหล น้ำไหล จุดไต้ ตะไบ ลำไส้ ไขกุญแจ ไดโนเสาร์
๓. คำที่ใช้สระ อัย (อัย) ใช้กับคำที่ยืมจากภาษาบาลี - สันสกฤต ซึ่งเดิมออกเสียง อะ และมี ย ตามหลังเท่านั้น เช่น
ชย ไทยใช้ ชัย ภย ไทยใช้ ภัย อาลย " อาลัย อุทย " อุทัย อภย " อภัย นย " นัย |
เวเนยย ไทยใช้ เวไนย (เวไนยสัตว์) อสังเขยย ไทยใช้ อสังไขย อธิปเตยย " อธิปไตย เทยยทาน " ไทยทาน |
การใช้พยัญชนะเสียง /สอ/ ในภาษาไทยมีหลักเกณฑ์การเขียน ดังนี้
๑. คำไทยแท้ทั่วไปนิยมเขียนด้วย ส เช่น เสื้อ เสือ สดใส เสียม เป็นต้น ยกเว้นคำไทย และคำยืมบางคำที่เขียนมาแต่โบราณใช้ ศ และ ษ บ้าง จึงยังคงใช้รูปเขียนเหล่านั้นอยู่ในปัจจุบัน เช่น
ศ : ศอ ศอก เศิก ศึก เศร้า บำราศ ปราศจาก ฝรั่งเศส เลิศ ไอศกรีม ษ : กระดาษ โจษจัน ดาษดา ดาษดื่น ฝีดาษ เดียรดาษ อังกฤษ |
๓. คำที่มาจากภาษาสันสกฤต มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
๓.๑ พยัญชนะ ศ เขียนหน้าพยัญชนะวรรค จะ และ หน้าพยัญชนะเศษวรรคบางรูป ดังนี้
๓.๑.๑ เขียนหน้าพยัญชนะวรรค จะ เช่น พฤศจิกายน อัศจรรย์ อัศเจรีย์ ๓.๑.๒ เขียนหน้าพยัญชนะเศษวรรค เช่น เทเวศร พิฆเนศวร์ แพศยา โศลก อัศวิน อาศรม |
๓.๒.๑ เขียนหน้าพยัญชนะวรรค ฏะ เช่น กนิษฐา โฆษณา ดุษฎี ราษฎร ทฤษฎี โอษฐ์ ๓.๒.๒ เขียนหน้าพยัญชนะวรรคอื่น เช่น เกษตร บุษกร บุษบก บุษบา พฤษภาคม ๓.๒.๓ เขียนหน้าพยัญชนะเศษวรรคบางรูป เช่น บุษยา ศิษย์ บุษยมาส อักษร บุษรา |
๓.๓.๑ เขียนหน้าพยัญชนะวรรค ตะ เช่น พัสดุ พิสดาร ภัสดา วาสนา สถาน สัสดี สวัสดี สตรี อัสดง ๓.๓.๒ เขียนหน้าพยัญชนะเศษวรรค เช่น ประภัสสร มัสลิน สุรัสวดี มัตสยา |
คำพ้องเสียง คือ คำที่ออกเสียงเหมือนกันแต่เขียนต่างกัน และมีความหมายแตกต่างกันด้วย การเขียนคำพ้องเสียงจึงอยู่ที่การสังเกตและจดจำความหมายของคำเป็นหลัก คำพ้องเสียงในภาษาไทยมีอยู่เป็นจำนวนมาก จึงยกตัวอย่างมาเป็นเครื่องสังเกต ดังนี้
/กาน/ เมืองกาญจน์ กานไม้(ตัดไม้) กิจการ แถลงการณ์ ประสบการณ์ ฤดูกาล กาฬโรค มหากาฬ กลอนกานท์(บทกลอน) /เกียด/ มีเกียรติ เกียรติยศ รังเกียจ ขี้เกียจ เกียจคร้าน เกียดกัน /สูด/ สูดดม สูตรคูณ ชันสูตร พหูสูต พิสูจน์ /น่า/ หน้าร้อน หน้าหนาว หน้าต่างน่ารัก น่ายกย่อง น่ากิน /โจด/ โจทก์จำเลย โจทย์เลข พูดโจษ โจษขาน /พัน/ พันผ้า ผูกพัน ละครพันทาง บทประพันธ์ ผิวพรรณ เผ่าพันธุ์ พรรณนา กรรมพันธุ์ ผลิตภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์ พรรดึก ภรรยา /มุก/ ไข่มุก หน้ามุข ประมุข มุกดา /เพด/ อาเพศ เพศชาย ลักเพศ เบญจเพส สมเพช ประเภท สามัคคีเภท /ขัน/ ขันน้ำ ขันธ์๕ ประจวบคีรีขันธ์ พระขรรค์ เขตขันฑ์ ขัณฑสกร แข่งขัน ขำขัน /นาด/ ระนาด นวยนาด สีหนาท นาถ(ที่พึ่ง) วรนาถ นงนาฏ นาฏศิลป์ พินาศ /ดิด/ บัณฑิต ประดิษฐ์ ประดิดประดอย อุตรดิตถ์ กาญจนดิษฐ์(ชื่ออำเภอ) |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น